ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นหนึ่งในเมนูขนมอบสุดคลาสสิกที่คนรักของหวานทั่วโลกต่างเทใจให้ ไม่ว่าจะด้วยเนื้อสัมผัสนุ่มเนียน รสชาติเปรี้ยวอ่อน ๆ ตัดกับความหวานละมุน ไปจนถึงกลิ่นหอมของชีสที่ทำให้หลายคนหลงใหล แต่ทราบหรือไม่ว่า “ชีสเค้ก” ยังแบ่งออกเป็นหลายสไตล์ หลายรูปแบบ แต่ละประเภทก็มีจุดเด่นและเสน่ห์เฉพาะตัว
ในบทความนี้ KNOWHOWBAKE โรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ จะพาคุณมาเจาะลึกถึงประเภทของชีสเค้กที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันดี พร้อมเคล็ดลับการทำเพื่อให้คุณได้ลิ้มรสชีสเค้กแสนอร่อยในสไตล์ที่คุณต้องการ
เลือกอ่านบางหัวข้อ
New York Cheesecake
เป็นชีสเค้กที่มีความเนียนหนักแน่น เนื้อครีมเข้มข้น เพราะใช้ครีมชีสปริมาณมาก มีส่วนผสมของไข่และครีม หรือนมข้น (Sour Cream) เพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำ ก้นเค้ก (Crust) มักทำจากแครกเกอร์ผสมกับเนยละลาย แล้วอัดแน่นด้านล่าง
รสชาติและเนื้อสัมผัส
- รสชาติครีมชีสโดดเด่น มีความหวานแต่ไม่มากจนเกินไป ตัดด้วยรสเปรี้ยวจาก Sour Cream เล็กน้อย
- เนื้อเค้กแน่นแต่เนียนนุ่ม ละลายในปากเมื่อทานคู่กับผลไม้สดหรือซอสเบอร์รี่
เคล็ดลับการทำ
- ตีครีมชีสให้นุ่มก่อนเติมส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
- อบแบบ Bain-Marie หรือวางถาดน้ำในเตาอบ เพื่อให้เค้กไม่แห้งและได้ผิวหน้าเรียบเนียน
Japanese Cheesecake (Soufflé Cheesecake)
มีความฟูเบา เนื้อนุ่มละมุนคล้ายซูเฟล่ (Soufflé) หรือเค้กสปันจ์ ส่วนผสมครีมชีสจะใช้ในปริมาณที่ไม่มากเท่าชีสเค้กสไตล์อเมริกัน แต่มีการแยกตีไข่ขาวและไข่แดงเพื่อเพิ่มฟองอากาศ
รสชาติและเนื้อสัมผัส
- รสชีสอ่อน ๆ หอมกลิ่นนม แต่ไม่เลี่ยนเหมือน New York Cheesecake
- เบาและเด้ง ยุบตัวง่ายหากอุณหภูมิหรือวิธีผสมไม่ถูกต้อง
เคล็ดลับการทำ
- ตีไข่ขาวให้ตั้งยอดอ่อน (soft peak) แล้วค่อย ๆ ตะล่อมเข้ากับส่วนผสมชีส เพื่อไม่ให้ฟองอากาศยุบ
- อบด้วยอุณหภูมิที่ไม่สูงมากนัก และใช้ถาดน้ำ (Water Bath) เพื่อรักษาความชื้นและได้เนื้อเค้กเบาละมุน
Basque Burnt Cheesecake
เค้ก “หน้าไหม้” ที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นบาสก์ (Basque) ประเทศสเปน มีผิวด้านนอกสีน้ำตาลเข้มไหม้เล็กน้อย เป็นเอกลักษณ์ ไม่มีฐาน (Crust) เป็นคุกกี้หรือแครกเกอร์ แต่เทใส่พิมพ์โดยตรงได้เลย
รสชาติและเนื้อสัมผัส
เนื้อด้านในยังคงความนุ่มและครีมมีความ “เยิ้ม” เล็กน้อย (semi-liquid) ตรงกลางรสชาติครีมชีสเข้มข้น และกลิ่นหอมไหม้บาง ๆ จากผิวเค้กด้านบน
เคล็ดลับการทำ
- ใช้อุณหภูมิสูงเพื่อให้ด้านบนเค้กไหม้ไว แต่ด้านในยังสุกเพียงพอ
- หลังอบ ควรปล่อยให้เค้กเซ็ตตัว (Set) ในอุณหภูมิห้องหรือแช่ตู้เย็นสักพัก เพื่อให้เนื้อไม่เหลวจนเกินไป
No-Bake Cheesecake (ชีสเค้กไม่อบ)
เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเตาอบ หรือไม่ต้องการขั้นตอนการอบให้ยุ่งยาก ใช้เจลาติน (Gelatine) หรือวัตถุเจลต่าง ๆ ช่วยให้เค้กเซ็ตตัว
รสชาติและเนื้อสัมผัส
- เนื้อเค้กเนียนนุ่ม เย็นสดชื่น มีสัมผัสเบา ๆ กว่าชีสเค้กอบทั่วไป
- สามารถเติมส่วนผสมอื่น ๆ เช่น ผลไม้สด ช็อกโกแลต หรือถั่ว เพื่อเพิ่มความหลากหลาย
เคล็ดลับการทำ
- ใช้ครีมชีสที่อุณหภูมิห้อง เพื่อให้ผสมง่ายและไม่เกิดก้อน
- ละลายเจลาตินในน้ำอุ่นแล้วเทผสมกับครีมชีสอย่างสม่ำเสมอ
- นำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง หรือข้ามคืน เพื่อให้เซ็ตตัวก่อนตกแต่งหน้าด้วยผลไม้
ชีสเค้กสไตล์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Ricotta Cheesecake
- ใช้ริคอตตาชีส (Ricotta Cheese) แทนครีมชีส มีความนุ่มละมุน คล้ายคัสตาร์ด และแคลอรีต่ำกว่าครีมชีส
Italian Cheesecake
- ใช้ชีสมาสคาโปน (Mascarpone) หรือผสมระหว่างมาสคาโปนและริคอตตา รสชาติเข้มข้น หอมมัน
Philadelphia Cheesecake
- ใช้แบรนด์ครีมชีสชื่อดัง “Philadelphia” เป็นหลัก ได้รสชาติเข้มข้น กลิ่นครีมชีสชัดเจน
เคล็ดลับเบื้องต้นในการทำชีสเค้กให้อร่อย
เลือกวัตถุดิบคุณภาพ
- ครีมชีส: เลือกยี่ห้อที่มีไขมันพอเหมาะสำหรับเบเกอรี่
- ไข่: สดและสะอาด ช่วยให้เนื้อสัมผัสของชีสเค้กเนียนนุ่ม
- น้ำตาลและกลิ่นวานิลลา: ใช้เกรดดีเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม
ดึงส่วนผสมออกมาพักที่อุณหภูมิห้อง
- ครีมชีสและไข่ควรอยู่ที่อุณหภูมิห้องก่อนผสม จะทำให้ตีง่าย เนื้อเค้กไม่เกิดก้อน
อบแบบรองน้ำ (Water Bath / Bain-Marie)
- ช่วยกระจายความร้อนอย่างสม่ำเสมอ และทำให้หน้าเค้กไม่แตกระหว่างอบ
ปล่อยให้เค้กเย็นตัวช้า ๆ
- เมื่ออบเสร็จ ควรปิดเตาอบ แง้มฝา ทิ้งให้เค้กเย็นลงทีละน้อย เพื่อป้องกันการยุบตัวกะทันหัน
รอเค้กเซ็ตตัวอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
- การนำชีสเค้กเข้าแช่เย็นจะช่วยให้เนื้อเค้กแน่น กลิ่นและรสชาติผสานกันอย่างลงตัว
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
ไม่ใช้เตาอบ ทำชีสเค้กได้ไหม?
ได้ สามารถทำ No-Bake Cheesecake ที่ใช้เจลาตินหรือผงวุ้นช่วยในการเซ็ตตัว เพียงนำเข้าแช่ตู้เย็นให้เซ็ต
ทำไมหน้าเค้กถึงแตกหรือยุบ?
แตก: อาจเพราะอุณหภูมิอบสูงเกินไป หรืออบนานเกินเวลาที่กำหนด
ยุบ: เมื่อชีสเค้กร้อนจัดแล้วเย็นลงทันที อากาศและความร้อนภายในไม่คงที่ ทำให้หน้ากดตัวลง ควรปล่อยให้เย็นช้า ๆ
จะรู้ได้อย่างไรว่าชีสเค้กสุกพอดี?
เช็กว่าขอบเค้กเซ็ตตัวแล้ว แต่ตรงกลางยังขยับเล็กน้อยเหมือนเยลลี่ เมื่อพักจะแข็งตัวพอดี
บางสไตล์ เช่น Basque Cheesecake จะนิยมตรงกลางยังค่อนข้าง “ไหลเยิ้ม”
ทำไมบางสูตรถึงอบชีสเค้กสองครั้ง (Double Bake)?
บางครั้งเป็นเทคนิคเพื่อทำเลเยอร์ เช่น อบชั้นครัสต์ (Crust) สัก 10 นาที แล้วตามด้วยไส้ชีสเค้ก แล้วอบอีกครั้ง ช่วยให้ฐานกรอบและไม่อมน้ำ
สูตรไหนเหมาะสำหรับมือใหม่ที่สุด?
No-Bake Cheesecake จะเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะไม่ต้องควบคุมเตาอบ แค่มีตู้เย็นก็เพียงพอ
สรุปท้าบบทความ: เลือกสไตล์ชีสเค้กในแบบคุณ
ชีสเค้กแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น New York Cheesecake เนื้อแน่นเข้มข้น, Japanese Cheesecake ฟูนุ่มละลายในปาก, Basque Cheesecake หน้าไหม้แต่เนื้อในเยิ้มนุ่ม หรือ No-Bake Cheesecake ที่เบาและสดชื่น ล้วนมีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง ทั้งในด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และระดับความยากในการทำ หากคุณเป็นมือใหม่ No-Bake Cheesecake อาจเริ่มต้นง่ายที่สุด แต่ถ้าคุณแสวงหาความเข้มข้นแบบสุด ๆ ก็ไม่มีอะไรมาชนะ New York Cheesecake ได้
และหากใครอยากพัฒนาฝีมือหรือทดลองสูตรต่าง ๆ ให้ถึงขั้นมืออาชีพ KNOWHOWBAKE โรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ของเราพร้อมดูแลและให้คำแนะนำ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงเทคนิคการอบ เซ็ตตัว และตกแต่งเค้ก เพื่อให้คุณได้ลิ้มลองความอร่อยของชีสเค้กในทุก ๆ รูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ
“ปลดล็อกเคล็ดลับชีสเค้กจากทั่วโลก ด้วยความรู้และเทคนิคที่ใช่ จาก KNOWHOWBAKE แล้วพบกับความฟินหลากสไตล์ของเมนูชีสเค้กที่คุณจะหลงรัก”
มาสนุกไปกับการอบชีสเค้กในแบบฉบับของคุณเองกันเถอะ!